ผลงานวิจัยจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่อง Emerging of Uncommon Chronic Mastitis From S. gallolyticus and S. chromogenes in a Smallholder Dairy Farm in Cambodia ได้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ Transboundary and Emerging Diseases(Published: 3 March 2025)

17 มีนาคม 2568

คณะสัตวแพทยศาสตร์

หนึ่งในผลงานวิจัยจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่อง Emerging of Uncommon Chronic Mastitis From S. gallolyticus and S. chromogenes in a Smallholder Dairy Farm in Cambodia ได้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ Transboundary and Emerging Diseases(Published: 3 March 2025) ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูล ISI Tier 1 (Journal Impact Factor 3.5), SJR Quartile 1 และ Scopus Tier 1 (Top 2%)

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://doi.org/10.1155/tbed/3621605

งานวิจัยเรื่อง Emerging of Uncommon Chronic Mastitis From S. gallolyticus and S. chromogenes in a Smallholder Dairy Farm in Cambodia มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการติดเชื้อก่อโรคเต้านมอักเสบกับความแปรผันตามฤดูกาล ตลอดจนศึกษาสัดส่วนของการติดเชื้อภายในเต้านม (IMI) ประเภทการติดเชื้อแบบชั่วคราว (Transient IMI) และการติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic IMI) รวมถึงระยะเวลาของการติดเชื้อภายในเต้านม (IMI) ในฟาร์มโคนมขนาดเล็กในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ผลการศึกษาพบว่า เชื้อก่อโรคหลักที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคเต้านมอักเสบ ได้แก่ Streptococcus uberis, Staphylococcus chromogenes, and Streptococcus gallolyticus โดยเชื้อเหล่านี้มีอัตราการติดเชื้อเรื้อรังสูงกว่าเชื้อก่อโรคเต้านมอักเสบชนิดอื่นที่พบในฟาร์ม นอกจากนี้ การวิเคราะห์ด้วย Cox’s model ยังแสดงให้เห็นว่า S. chromogenes ช้ระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่าเชื้อก่อโรคอื่น ยกเว้น S. uberis และ S. gallolyticus, ซึ่งเชื้อ S. gallolyticus ยังมีความเชื่อมโยงกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ในมนุษย์อีกด้วยจากการศึกษานี้ สรุปได้ว่า การขาดแคลนโปรแกรมควบคุมโรคเต้านมอักเสบที่มีประสิทธิภาพในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการติดเชื้อแบบผสมชนิดใหม่ การแพร่ระบาดของเชื้อก่อโรคเต้านมอักเสบชนิดใหม่ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของการติดเชื้อเรื้อรังจาก S. chromogenes นอกจากนี้ ผลการศึกษายังสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อพัฒนาแนวทางการควบคุมโรคเต้านมอักเสบให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต


แกลลอรี่