“สวัสดิภาพของช้าง” เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยครั้ง ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความผูกพันกับช้างเลี้ยงมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือมีจำนวนคิดเป็นหนึ่งในสามของประชากรช้างเลี้ยงทั้งหมดของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ มีช้างเลี้ยงมากที่สุดในประเทศถึง 418 เชือก การดูแลสุขภาพช้างจึงเป็นอีกปัจจัยหลักที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ตระหนักถึง จึงเป็นที่มาของโครงการสร้าง “โรงพยาบาลช้าง ศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า" ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก คุณกัญจนา ศิลปอาชา จำนวน 49.25 ล้านบาทในการสร้างโรงพยาบาลช้างแห่งใหม่นี้ ในพื้นที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับช้างป่วยได้อย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น
ศ.ปฏิบัติ ดร.น.สพ.ฉัตรโชติ ทิตาราม รองคณบดีฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และวิเทศสัมพันธ์ และ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มช. ได้กล่าวถึงสถานการณ์ช้างไทยว่า “ในปัจจุบันประเทศไทยเรามีปางช้างจำนวนมากที่ทำธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว ส่งผลให้มีข้อถกเถียงกันในสังคม จากปัญหาการดูแลช้างบ้านโดยปางช้างต่าง ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงออกกฎหมายควบคุมดูแลอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง การปฏิบัติที่ดีสําหรับปางช้าง จากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือ มกอช. หรือการออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง การจัดสวัสดิภาพช้างในปางช้าง” และยังกล่าวอีกว่า “สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในตอนนี้ คือ สวัสดิภาพ สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของช้าง”
ด้วยเหตุนี้เอง คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงได้จัดตั้ง "ศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า" ขึ้น เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพช้างในรูปแบบคลินิกเคลื่อนที่ร่วมกับหน่วยงานและองค์กรภายนอก แต่ยังมีข้อจำกัดในด้านสถานที่ บุคลากร และเครื่องมืออุปกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนย้ายที่เป็นไปอย่างยากลำบากจึงทำให้ไม่สามารถดูแลช้างได้อย่างทั่วถึง จึงเป็นที่มาของโครงการสร้าง “โรงพยาบาลช้าง ศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า" แห่งใหม่ในพื้นที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับช้างป่วย ไปจนถึงช้างที่มีอาการหนักหรืออยู่ในขั้นวิกฤตได้ เพิ่มศักยภาพในการให้บริการการดูแลสุขภาพช้าง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่ใกล้กับช้างบ้านจำนวนมาก จึงง่ายต่อการเดินทางมารักษา
มากไปกว่านั้น ศ.ปฏิบัติ ดร.น.สพ.ฉัตรโชติฯ ได้กล่าวถึง โอกาสทางการศึกษาซึ่งเป็นพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยว่า “โรงพยาบาลแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่เรียนรู้สำหรับนักศึกษา สัตวแพทย์ ทั้งไทย และต่างประเทศ ต่อยอดองค์ความรู้ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับช้างและสัตว์ป่า สามารถศึกษาแนวทางการดูแลรักษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต”
โดยเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้จัดพิธีรับมอบเงินสนับสนุนโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลช้าง ศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จาก คุณกัญจนา ศิลปอาชา จำนวน 49.25 ล้านบาท สำหรับเป็นพื้นที่เพื่อการรองรับการดูแลและรักษาช้างป่วยอย่างทันท่วงที ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา ฝึกอบรม และเผยแพร่ความรู้ในการดูแลสุขภาพช้างและสัตว์ป่าที่ถูกต้องให้กับนักศึกษาสัตวแพทย์และผู้ที่สนใจ บนพื้นที่ 26 ไร่ ใน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ศ.ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) พร้อมด้วย ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร.น.สพ.กรกฎ งานวงศ์พาณิชย์ คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ศ.ปฏิบัติ ดร.น.สพ.ฉัตรโชติ ทิตาราม รองคณบดีฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และวิเทศสัมพันธ์ และ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ ร่วมเป็นสักขีพยาน
คุณกัญจนา ศิลปอาชา ได้กล่าวถึงโครงการนี้ว่า “ช้างในพื้นที่ภาคเหนือมีจำนวนเยอะมาก หลายร้อยเชือก มีโรงพยาบาลช้างรองรับเพียงแห่งเดียวคือ สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ จ.ลำปาง ดังนั้น เชียงใหม่จึงเป็นอีกพื้นที่ที่เหมาะกับการสร้างโรงพยาบาลช้างอย่างมาก สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาเชียงใหม่ที่มีโครงการฯ นี้อยู่แล้ว จึงเป็นส่วนเติมเต็มกันและกันได้เป็นอย่างดี ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกันคือสร้างสวัสดิภาพที่ดีขึ้นของช้าง และยังเป็นพื้นที่บ่มเพาะความรู้ให้กับสัตวแพทย์ หรือหมอช้างที่กำลังขาดแคลนอยู่ในขณะนี้”
ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ในการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลช้าง ศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า แห่งใหม่นี้ ประกอบไปด้วย อาคารโรงพยาบาลช้าง อาคารสำนักงาน อาคารพักฟื้นช้างป่วย อาคารโรงเก็บอาหารและบ้านพักควาญช้าง ระบบไฟฟ้าและน้ำประปา ครุภัณฑ์ประกอบอาคาร ครุภัณฑ์สำนักงาน และ ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ และหากการก่อสร้างแล้วเสร็จตามแผน จะสามารถรองรับช้างป่วยที่มีอาการหนักหรืออยู่ในขั้นวิกฤตไว้รักษาได้ครั้งละไม่ต่ำกว่า 6 เชือก พร้อมสามารถจัดการอบรมภาคปฏิบัติระยะสั้นสำหรับนักศึกษาคณะสัตวแพทย์และผู้ที่สนใจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ช้าง สัตว์ป่า ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน