อย่ารอให้มะเร็งออกอาการ ตรวจเต้านมด้วยตัวเอง พบเร็วรักษาได้
7 ต.ค.วันมะเร็งเต้านมสากล
7 ต.ค. วันมะเร็งเต้านมสากล 7 ตุลาคมของทุกปี ตรงกับวันมะเร็งเต้านมสากล
จับสัญญาณเตือนมะเร็งเต้านม ก่อนจะสายเกินแก้
ตุลาคมเป็นเดือนรณรงค์ต้านภัยมะเร็งเต้านมทั่วโลก และในวันที่ 7 ตุลาคมของทุกปี ตรงกับวันมะเร็งเต้านมสากล (World Breast Cancer Day)
มะเร็งเต้านม คืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร
มะเร็งเต้านมคือโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตและแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ในเต้านมจนควบคุมไม่ได้ ทำให้เกิดก้อนเนื้อร้ายภายในเนื้อเยื่อเต้านม สาเหตุของมะเร็งเต้านมเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสารพันธุกรรม (DNA) ของเซลล์ ซึ่งทำให้เซลล์ไม่ตายตามวาระปกติและแบ่งตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นมะเร็ง
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ควรรู้ ได้แก่
• เพศหญิง ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชายมากกว่า 100 เท่า
• อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุเกิน 50 ปี
• ประวัติครอบครัวที่มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะญาติสายตรง
• พันธุกรรม เช่น การมียีนกลายพันธุ์ BRCA1 หรือ BRCA2 ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงได้มากกว่า 60% และอาจเกิดในวัยที่น้อยกว่าปกติ
• ปัจจัยอื่นๆ เช่น ประจำเดือนมาเร็ว หรือหมดช้า ไม่เคยตั้งครรภ์ หรือมีบุตรช้า การใช้ฮอร์โมนเพศหญิงนานๆ ภาวะอ้วน เบาหวาน ขาดการออกกำลังกาย ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
การถ่ายทอดทางพันธุกรรมของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่มีสัดส่วนไม่มากเพียง 5–10% ของผู้ป่วย เช่น การมียีน BRCA1 หรือ BRCA2 กลายพันธุ์ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเองโดยไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
กลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงสูง
ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะช่วงอายุ 50–70 ปี อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบว่าผู้หญิงที่อายุ 30 ปีขึ้นไปก็มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ผู้ชายสามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้หรือไม่
ผู้ชายก็สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า 1% ของผู้ป่วยทั้งหมด อาการมักคล้ายกับผู้หญิง เช่น มีก้อนที่เต้านมหรือมีน้ำผิดปกติออกจากหัวนม หากพบในผู้ชายควรตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้อง เช่น BRCA1/2
อาการเบื้องต้นที่ควรสังเกต
ควรเฝ้าระวังอาการผิดปกติของเต้านม เช่น
• คลำพบก้อนในเต้านม
• หัวนมหดรั้งหรือผิดรูป
• มีเลือดหรือน้ำผิดปกติออกจากหัวนม
• ผิวหนังเต้านมหนา บุ๋ม หรือมีรอยดึงรั้ง คล้ายเปลือกส้ม
• ก้อนโตหรือเจ็บที่รักแร้
หากพบอาการใดก็ตาม ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด
การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม
การตรวจแมมโมแกรมเป็นวิธีคัดกรองที่แม่นยำและสามารถตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มต้นได้ดี โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป มีความไวในการตรวจสูงถึง 90% แต่ในผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น (โดยเฉพาะคนอายุน้อย) อาจต้องเสริมการตรวจด้วยอัลตราซาวด์เต้านม
ควรเริ่มตรวจคัดกรองเมื่อใด
• ผู้หญิงทั่วไปควรเริ่มตรวจแมมโมแกรมตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ปีละครั้ง
• ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติญาติสายตรง หรือมียีนกลายพันธุ์ ควรเริ่มตรวจเร็วกว่าปกติ และอาจต้องตรวจด้วย MRI เต้านมร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนตรวจคัดกรองที่เหมาะสม
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง
การตรวจเต้านมด้วยตนเองยังคงจำเป็น เพื่อให้ผู้หญิงได้รู้จักเต้านมตนเองและสังเกตความผิดปกติได้เร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดปกติที่เกิดกับผิวหนังหรือหัวนม ควรทำเดือนละครั้ง ที่ 7 วันหลังจากประจำเดือนวันแรก หากประจำเดือนหมดแล้วควรเลือกตรวจในวันเดิมของทุกๆเดือน
หากพบก้อนในเต้านม ควรทำอย่างไร
ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม เช่น การซักประวัติ ตรวจร่างกาย แมมโมแกรม หรืออัลตราซาวด์ และถ้าจำเป็นอาจต้องเจาะชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
วิธีการรักษามะเร็งเต้านม
การรักษามะเร็งเต้านมแบ่งออกเป็น
• การรักษาเฉพาะที่ เช่น การผ่าตัดเต้านม (สงวนเต้านมหรือผ่าตัดออกทั้งเต้านม พร้อมเสริมสร้างเต้านมใหม่หากต้องการ) และการฉายรังสี
• การรักษาแบบระบบ เช่น
• ยาเคมีบำบัด
• ยาฮอร์โมนบำบัด
• ยามุ่งเป้า (targeted therapy) เช่น ยา Her-2 targeted therapy
• ยาภูมิคุ้มกันบำบัด (immunotherapy)
ข้อดีและข้อเสียของการรักษาแต่ละแบบ
การเลือกวิธีรักษาต้องคำนึงถึงระยะของโรค ชนิดของมะเร็ง และความพร้อมของผู้ป่วย เพื่อให้สมดุลระหว่างประสิทธิภาพการรักษาและคุณภาพชีวิต ควรปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด
การรักษาแบบมุ่งเป้าและภูมิคุ้มกันบำบัด
การรักษาแบบมุ่งเป้ามีหลายชนิด เช่น
• Her-2 targeted therapy สำหรับผู้ป่วย HER2-positive
• CDK4/6 inhibitor สำหรับผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนบำบัด
• Olaparib สำหรับผู้ป่วยที่มียีน BRCA1/2 กลายพันธุ์
ภูมิคุ้มกันบำบัดจะใช้ในมะเร็งเต้านมบางชนิด เช่น triple-negative breast cancer
โอกาสในการหายขาด
ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ชนิดของมะเร็ง การตอบสนองต่อการรักษา และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
ผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและสุขภาพจิต
ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยล้า รูปร่างเปลี่ยนแปลง และมีความกังวลทางใจ เช่น ภาวะซึมเศร้า ควรได้รับการดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงกำลังใจจากครอบครัว เพื่อช่วยให้ฟื้นฟูคุณภาพชีวิตได้ดีขึ้น
การดูแลตัวเองหลังการรักษา
ควรรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ปรุงสุกสะอาด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลแผลผ่าตัดตามคำแนะนำ และมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงดูแลสุขภาพจิตใจด้วย
โอกาสในการกลับมาเป็นซ้ำ
ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและลักษณะของมะเร็ง โดยทั่วไปหากผ่านไป 5–10 ปีโดยไม่กลับเป็นซ้ำ โอกาสหายขาดจะสูงขึ้น แต่ยังต้องติดตามเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
การติดตามอาการหลังรักษา
• สองปีแรก ควรตรวจพบแพทย์ทุก 3–6 เดือน
• ปีที่ 3–5 ตรวจทุก 6–12 เดือน
• หลัง 5 ปี ตรวจปีละครั้ง
และควรทำแมมโมแกรมเต้านมข้างที่เหลือปีละครั้งตามคำแนะนำแพทย์
โภชนาการและพฤติกรรมการใช้ชีวิต
การควบคุมน้ำหนัก ป้องกันภาวะอ้วน เบาหวาน รับประทานอาหารมีประโยชน์ งดแอลกอฮอล์ และออกกำลังกาย ช่วยลดความเสี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำของโรค
คำแนะนำสำหรับครอบครัวผู้ป่วย
สิ่งสำคัญคือการให้กำลังใจและอยู่เคียงข้าง ไม่ควรกดดัน ควรช่วยดูแลเรื่องอาหาร พาผู้ป่วยมาพบแพทย์ตามนัด และเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้พูดคุยเมื่อจำเป็น
ขอบคุณข้อมูลจาก: พญ.จุฬารัตน์ ดวงแก้ว
อาจารย์ประจำหน่วยศัลยศาสตร์เต้านมและต่อมไร้ท่อ
ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช.
.
เรียบเรียง: นางสาวนันทพร ระบิน
ภาพ / ข่าว: งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
#มะเร็งเต้านม #MedCMU #คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ #แพทย์เชียงใหม่ #แพทย์มช #หมอสวนดอก #โรงพยาบาลสวนดอก #Medcmuในมือคุณ #สื่อสารองค์กรMedcmu