วันถุงลมโป่งพองโลก (WORLD COPD DAY)

8 พฤศจิกายน 2566

คณะแพทยศาสตร์

องค์การอนามัยโลก และองค์การโรคถุงลมโป่งพองโลก ได้กำหนดให้วันพุธสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันแห่งการรณรงค์โรคถุงลมโป่งพองโลก

โรคถุงลมโป่งพอง คืออะไร?
โรคถุงลมโป่งพองหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หมายถึง โรคระบบการหายใจที่เป็นผลจากการอักเสบเรื้อรังต่อหลอดลมและหลอดลมฝอย (หลอดลมอักเสบเรื้อรัง) หรือมีการทำลายผนังถุงลม (ถุงลมโป่งพอง) ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อย ไอ มีเสมหะแบบเรื้อรัง ร่วมกับมีการจำกัดการไหลของอากาศในขณะหายใจออก ที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โรคนี้เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับ 3 ของการเสียชีวิตของประชากรโลก และการกำเริบเฉียบพลันของโรคจะมีผลต่อการเสียชีวิต สมรรถภาพปอดที่แย่ลง และคุณภาพชีวิตในระยะยาว

สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง
ปัจจุบันโรคนี้เป็นผลจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรม ร่วมกับปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะจากควันจากการสูบบุหรี่ และมลภาวะทั้งจากในบริเวณบ้านและนอกบ้าน ได้แก่ ควันพิษและก๊าซที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ต่างๆ รวมทั้งฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เป็นเวลานาน

อาการของโรคถุงลมโป่งพอง
ผู้ป่วยจะมีอาการไอเรื้อรัง อาจจะมีหรือไม่มีเสมหะ หายใจหอบเหนื่อยซึ่งจะมีอาการมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในระยะแรกผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยในขณะที่ออกแรง และในระยะที่โรคเป็นมากขึ้น จะมีอาการเหนื่อยแม้ในขณะพัก อาการอื่นที่พบได้ เช่น แน่นหน้าอก หรือหายใจมีเสียงหวีด

การรักษาโรคถุงลมโป่งพอง
1. การรักษาโดยใช้ยา ได้แก่ ยาสูดขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาวในรายที่มีอาการเหนื่อยในระดับ 2 (เดินบนพื้นราบได้ช้ากว่าคนอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกันเพราะหายใจหอบ หรือต้องหยุดเพื่อหายใจ เมื่อเดินตามปกติบนพื้นราบ) ขึ้นไป หรือมีอาการกำเริบเฉียบพลันรุนแรงปานกลาง อย่างน้อย 2 ครั้ง ในปีที่ผ่านมา หรือมีอาการกำเริบเฉียบพลันรุนแรงที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลอย่างน้อย 1 ครั้ง ในปีที่ผ่านมา ร่วมกับยาสูดขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์สั้น เมื่อมีอาการเหนื่อย
2. การหยุดสูบบุหรี่
3. การรักษาอื่น ๆ ได้แก่ การให้วัคซีน เช่น วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ปีละ 1 ครั้ง วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ และวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดในรายที่มีอาการเหนื่อยตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไป เป็นต้น

การป้องกันโรคถุงลมโป่งพอง
การลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการกำเริบของโรค ได้แก่ การไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงฝุ่นควันจากมลภาวะต่าง ๆ หลีกเลี่ยงผู้ที่ติดเชื้อหวัด การได้รับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อระบบการหายใจ และการใช้ยาตามที่แพทย์สั่งด้วยวิธีการสูดที่ถูกต้อง รวมทั้งการออกกำลังกายที่เหมาะสม และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : รศ.นพ.อรรถวุฒิ ดีสมโชค หัวหน้าหน่วยวิชาระบบการหายใจ เวชบำบัดวิกฤตและภูมิแพ้ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช.

เรียบเรียง:นางสาวนันทพร ระบิน
ภาพ / ข่าว : กลุ่มงานสื่อสารองค์กร
งานประชาสัมพันธ์
คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
แกลลอรี่