ทีมวิจัยจากภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดย ดร.ณัฐภัท ทองศักดิ์ (1) และคณะ* ร่วมกับมูลนิธิเอ็มพลัส เชียงใหม่ ดร.ณัฑพร มโนใจ (2) คุณรัฐวิทย์ อภิพุทธิพันธ์ (3) องค์การแฟมิลี เฮลท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (FHI 360) กรุงเทพมหานคร คุณณิชา รองราม (4) ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ผศ. พญ.ณัฐนิตา มัทวานนท์ (5) และอาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ. ดร.นนท์ธิยา หอมขำ (13) ร่วมกันศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการขาดความต่อเนื่องในการรับยา PrEP ของสตรีข้ามเพศ ในจังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย (Risk Factors Associated with Loss to Follow-up Among Transgender Women Receiving HIV Pre-exposure Prophylaxis in Chiang Mai province, Thailand.)
ในกระบวนการศึกษาวิจัย นักวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ทางสถิติที่เกี่ยวข้องในการศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการขาดความต่อเนื่อง (Loss to follow-up: LTFU) ในการรับยา Pre-exposure Prophylaxis (PrEP) ของสตรีข้ามเพศ ในจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และใช้ Kaplan-Meier curve ในการประมาณอัตรา LTFU สะสม ณ เดือนที่ 1 2 3 และ 6 หลังจากเริ่มยา PrEP จากนั้นทำการทดสอบ Log-rank เพื่อเปรียบเทียบอัตรา LTFU ระหว่างกลุ่มของตัวแปรและทำการวิเคราะห์ด้วย Cox proportional hazard regression model เพื่อระบุปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับ LTFU
ผลการศึกษาพบว่า สตรีข้ามเพศส่วนใหญ่ที่ LTFU จากโปรแกรม PrEP เนื่องจากไม่ได้อยู่ในสถานะที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ (28%) สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่มาตามนัดหมายอย่างน้อย 1 ครั้งและ LTFU พบว่า 18% ได้รับผลกระทบข้างเคียงจากการใช้ยา PrEP หรือกังวลว่าการรับ PrEP จะไปลดประสิทธิภาพของฮอน์โมนที่ใช้อยู่
โดยอัตรา LTFU ณ เดือนที่ 1 2 3 และ 6 หลังจากเริ่มยา PrEP ของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 8% 14% 23% และ 38% ตามลำดับ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ LTFU ของการใช้ยา PrEP ในกลุ่มสตรีข้ามเพศ คือ อายุและการติดเชื้อซิฟิลิส โดยพบว่า สตรีข้ามเพศที่มีอายุตั้งแต่ 26 ปีขึ้นไป และตรวจพบเชื้อซิฟิลิสในช่วงเริ่มต้นยา PrEP มีแนวโน้มที่จะ LTFU ออกจากโปรแกรม PrEP หลังจากมาตามนัดหมายอย่างน้อย 1 ครั้ง เมื่อควบคุมปัจจัยความถี่ในการใช้ยา PrEP
ทั้งนี้ แม้ว่าในประเทศไทยจะมีโครงการแจกยา PrEP ฟรี ให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV แต่สตรีข้ามเพศส่วนใหญ่ยังคงขาดความต่อเนื่องในการรับยา PrEP เนื่องจากตามแนวทางการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของประเทศไทย แพทย์จะทำการส่งต่อผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไปยังคลินิกเฉพาะทางโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงเกิดความล่าช้าในการนัดหมายระหว่างสตรีข้ามเพศที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อซิฟิลิสกับผู้ให้บริการ PrEP และคลินิกซิฟิลิส นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมบางคนยังพบปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการรับยา PrEP ในช่วงล็อคดาวน์ขณะที่มีการระบาดของ COVID-19 ดังนั้น การบริการให้คำปรึกษาทางไกล (Telemedical consultation services) และการบริการส่งยา PrEP อาจเพิ่มอัตราการคงอยู่ในโปรแกรม PrEP ของสตรีข้ามเพศในประเทศไทย
บทความได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร AIDS and Behavior : doi: 10.1007/s10461-022-03782-7.
Impact Factor : 4.852 (Q1 ISI และ Scopus)
*ทีมวิจัยจากภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดย ดร.ณัฐภัท ทองศักดิ์ (1) และคณะ* ประกอบด้วย ผศ. ดร.วลัยทิพย์ บุญญาติศัย (6) ผศ. ดร.บัณฑิตา พลับอินทร์ (7) ผศ. ดร.นวพร นาคหฤทัย (8) อาจารย์ ดร.สาลินี ธำรงเลาหะพันธุ์ (9) อาจารย์ ดร.พิมพ์วรัชญ์ ศรีคำมูล (10) รศ. ดร.ภัทรินี ไตรสถิตย์ (11) และนักศึกษาบัณฑิตศึกษาจากภาควิชาสถิติ น.ส.กนกกาญจน์ วงษ์สวัสดิ์ (12)
ภาพนักวิจัย